1. Living Will กับ Will ต่างกันอย่างไร
ก่อนอื่นมาเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Living Will และ Will (Last Will and Testament) กันก่อน ทั้งสองเป็นเอกสารที่มักจะสับสนกันเพราะชื่อคล้ายกัน แต่ทั้งสองมีวัตถุประสงค์และขอบเขตที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง:
Living Will
- วัตถุประสงค์: เป็นเอกสารที่กำหนดความประสงค์เกี่ยวกับการดูแลรักษาพยาบาลเมื่อเจ้าของเอกสารไม่สามารถตัดสินใจหรือสื่อสารได้ด้วยตัวเอง (เช่น ในกรณีป่วยหนักหรือหมดสติ)
- ขอบเขต:
- การตัดสินใจเกี่ยวกับการใช้เครื่องช่วยหายใจ
- การให้อาหารทางสายยาง
- การรักษาเพื่อยื้อชีวิตในกรณีที่ไม่มีโอกาสฟื้นตัว
- การดูแลในช่วงสุดท้ายของชีวิต เช่น การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care)
- เวลามีผล: ใช้ในขณะที่เจ้าของเอกสารยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่สามารถแสดงความต้องการด้วยตนเอง
- จุดมุ่งหมาย: เพื่อให้แน่ใจว่าความต้องการของเจ้าของเอกสารจะถูกปฏิบัติอย่างถูกต้องแม้ในช่วงที่ไม่สามารถตัดสินใจได้เอง และช่วยลดความกังวลให้กับครอบครัวหรือผู้ดูแล
Will (Last Will and Testament)
- วัตถุประสงค์: เป็นเอกสารที่กำหนดวิธีการจัดการทรัพย์สินและความประสงค์หลังจากเจ้าของเอกสารเสียชีวิต
- ขอบเขต:
- การระบุผู้รับมรดก
- การแต่งตั้งผู้จัดการมรดก
- การจัดการเรื่องอื่นๆ เช่น การดูแลบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
- ความต้องการเฉพาะ เช่น การบริจาคทรัพย์สินเพื่อการกุศล
- เวลามีผล: ใช้หลังจากที่เจ้าของเอกสารเสียชีวิตเท่านั้น
- จุดมุ่งหมาย: เพื่อควบคุมและวางแผนการจัดการทรัพย์สินและลดข้อขัดแย้งในครอบครัวหลังจากการเสียชีวิต
สรุปความแตกต่างหลัก
หัวข้อ | Living Will | Will (Last Will and Testament) |
---|---|---|
เนื้อหา | ความประสงค์เกี่ยวกับการรักษาพยาบาล | ความประสงค์เกี่ยวกับทรัพย์สินและมรดก |
เวลามีผล | ขณะยังมีชีวิตอยู่แต่ไม่สามารถตัดสินใจได้เอง | หลังจากเสียชีวิต |
ผู้เกี่ยวข้อง | บุคลากรทางการแพทย์, ตัวแทนการรักษาพยาบาล | ครอบครัว, ทนาย, ผู้จัดการมรดก |
เป้าหมาย | ควบคุมการรักษาในช่วงท้ายของชีวิต | ควบคุมการจัดการทรัพย์สินหลังเสียชีวิต |
2. Introduction: ความสำคัญของ Living Will
Living Will หรือพินัยกรรมเกี่ยวกับการใช้ชีวิต เป็นเอกสารสำคัญที่ช่วยให้บุคคลแสดงความประสงค์เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลในกรณีที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง เช่น ในกรณีที่หมดสติ ป่วยหนัก หรืออยู่ในภาวะที่ไม่สามารถสื่อสารได้
ความสำคัญของ Living Will
- ช่วยลดภาระการตัดสินใจของครอบครัว
ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด การที่ครอบครัวต้องตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลอาจทำให้เกิดความขัดแย้งหรือความไม่สบายใจ การมี Living Will ช่วยให้ครอบครัวทราบความประสงค์ที่ชัดเจนของเจ้าของเอกสารและทำตามได้อย่างมั่นใจ - สร้างความมั่นใจว่าความต้องการของเราจะได้รับการได้รับ
Living Will เป็นเอกสารที่สะท้อนความต้องการและค่านิยมของเราเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล เช่น การปฏิเสธการรักษาที่ไม่ต้องการ หรือการเลือกการดูแลแบบประคับประคอง - ป้องกันความเข้าใจผิดระหว่างผู้เกี่ยวข้อง
ในบางกรณี บุคลากรทางการแพทย์และครอบครัวอาจมีมุมมองที่ต่างกันเกี่ยวกับการรักษา Living Will ช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปในทิศทางที่ตรงกับความต้องการของเจ้าของเอกสาร - ช่วยลดค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่ไม่จำเป็น
การรักษาบางประเภทอาจมีค่าใช้จ่ายสูงและไม่ช่วยยืดอายุอย่างมีคุณภาพ การมี Living Will ช่วยป้องกันการรักษาที่เจ้าของเอกสารไม่ต้องการและอาจไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสุขภาพ
ตัวอย่างสถานการณ์ที่ Living Will มีประโยชน์
- บุคคลที่ป่วยเป็นโรคร้ายแรง เช่น มะเร็งระยะสุดท้าย และไม่ต้องการการรักษาแบบยื้อชีวิต
- ผู้สูงอายุที่ต้องการดูแลแบบประคับประคองในช่วงท้ายของชีวิตโดยไม่มีการรักษาที่อาจทำให้เกิดความทุกข์ทรมาน
- บุคคลที่ต้องการปฏิเสธการใช้เครื่องช่วยหายใจในกรณีที่ไม่มีโอกาสฟื้นตัว
ประโยชน์ของการมี Living Will
- ช่วยให้การรักษาพยาบาลดำเนินไปตามความต้องการของผู้ป่วย
- ลดความสับสนในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน
- เสริมสร้างความมั่นใจและความสงบใจให้กับครอบครัวและบุคคลใกล้ชิด
Living Will จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการวางแผนชีวิต โดยเฉพาะในช่วงท้ายของชีวิต ที่ช่วยให้เราสามารถควบคุมการรักษาพยาบาลของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. Key Components: องค์ประกอบสำคัญของ Living Will
การเขียน Living Will ที่สมบูรณ์และมีประสิทธิภาพควรประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญต่อไปนี้:
1. การระบุความประสงค์เกี่ยวกับการรักษาพยาบาล
- การใช้เครื่องช่วยหายใจ (Mechanical Ventilation)
ระบุความต้องการว่าต้องการหรือปฏิเสธการใช้เครื่องช่วยหายใจในกรณีที่ระบบการหายใจล้มเหลว เช่น ภาวะที่ไม่สามารถฟื้นตัวได้ - การให้อาหารและน้ำทางสายยาง (Artificial Nutrition and Hydration)
กำหนดว่าจะยอมรับการให้อาหารและน้ำทางสายยางเพื่อยื้อชีวิตหรือไม่ - การรักษาเพื่อยื้อชีวิต (Life-Sustaining Treatment)
ระบุว่าต้องการหรือปฏิเสธการรักษาประเภทใด เช่น การฟอกไตหรือการช็อกไฟฟ้าหัวใจ (CPR)
2. การกำหนดตัวแทนในการตัดสินใจ (Healthcare Proxy)
- เลือกบุคคลที่ไว้วางใจ เช่น สมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท เพื่อทำหน้าที่ตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลในกรณีที่คุณไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง
- ระบุขอบเขตของอำนาจที่ตัวแทนสามารถตัดสินใจได้ เช่น เฉพาะเรื่องการรักษาที่เกี่ยวกับการยื้อชีวิต หรือครอบคลุมการดูแลทุกด้าน
3. การระบุความต้องการเกี่ยวกับการดูแลในช่วงสุดท้ายของชีวิต (End-of-Life Care)
- การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care)
ระบุว่าต้องการการดูแลเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดและเพิ่มคุณภาพชีวิตในช่วงท้ายของชีวิตหรือไม่ - สถานที่ที่ต้องการรับการดูแล
เช่น โรงพยาบาล บ้าน หรือสถานดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย (Hospice Care)
4. คำแนะนำเพิ่มเติม
- การจัดการเกี่ยวกับอวัยวะหรือการบริจาคอวัยวะ (Organ Donation)
- การปฏิบัติทางศาสนาหรือพิธีกรรมที่ต้องการในช่วงท้ายของชีวิต
- ข้อห้ามเฉพาะ เช่น การปฏิเสธการรักษาแบบทดลอง
5. การอัปเดตและความยืดหยุ่น
- ระบุความยืดหยุ่นในกรณีที่สถานการณ์เปลี่ยนแปลง เช่น การอนุญาตให้แพทย์ปรับเปลี่ยนแนวทางการรักษาตามความเหมาะสม
- อัปเดต Living Will ทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลงในสุขภาพหรือความต้องการ
ตัวอย่างข้อความใน Living Will
- “ข้าพเจ้าขอปฏิเสธการใช้เครื่องช่วยหายใจในกรณีที่ไม่สามารถฟื้นตัวได้”
- “ข้าพเจ้าขอรับการดูแลแบบประคับประคองโดยไม่มีการรักษาที่อาจยืดเวลาชีวิตอย่างไม่จำเป็น”
- “ข้าพเจ้ายินยอมให้บริจาคอวัยวะในกรณีที่เหมาะสม”
องค์ประกอบเหล่านี้ช่วยให้ Living Will มีความชัดเจน ครอบคลุม และสอดคล้องกับความต้องการของคุณมากที่สุด
4. Legal Process: กระบวนการทางกฎหมาย
การสร้าง Living Will ที่ถูกต้องและมีผลทางกฎหมายต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดอย่างครบถ้วน เพื่อให้มั่นใจว่าความประสงค์ของคุณจะได้รับการปฏิบัติในกรณีที่จำเป็น
1. การตรวจสอบข้อกฎหมายของรัฐ
- Living Will มีข้อกำหนดแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐในสหรัฐฯ
- ศึกษาและทำความเข้าใจกฎหมายที่เกี่ยวข้องในรัฐที่คุณอาศัยอยู่ เช่น แบบฟอร์มที่ใช้ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
- บางรัฐอาจต้องการให้มี Healthcare Proxy ร่วมด้วยเพื่อความสมบูรณ์
2. การร่าง Living Will
- ใช้แบบฟอร์ม Living Will ที่ได้รับการรับรองในรัฐของคุณ
- ระบุข้อมูลส่วนตัวอย่างครบถ้วน เช่น ชื่อ-นามสกุล วันเกิด และที่อยู่
- ระบุความประสงค์ด้านการรักษาพยาบาลอย่างชัดเจนและไม่กำกวม
3. การเซ็นชื่อและพยาน
- เซ็นชื่อในเอกสารด้วยตนเอง
- จัดให้มีพยานที่ไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ใน Living Will อย่างน้อยสองคน หรือให้เจ้าหน้าที่โนตารี (Notary Public) รับรองเอกสารตามที่กฎหมายรัฐกำหนด
- ในบางรัฐอาจกำหนดให้พยานต้องไม่ใช่สมาชิกในครอบครัวหรือบุคลากรทางการแพทย์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรักษา
4. การยื่น Living Will
- เก็บสำเนา Living Will ไว้ในที่ปลอดภัยและง่ายต่อการเข้าถึง
- มอบสำเนาให้บุคคลสำคัญ เช่น:
- สมาชิกในครอบครัว
- ตัวแทนด้านสุขภาพ (Healthcare Proxy)
- แพทย์ประจำตัวหรือสถานพยาบาลที่คุณเข้ารับการรักษา
- ในบางรัฐ คุณอาจยื่น Living Will ไว้กับฐานข้อมูลของรัฐเพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์เข้าถึงได้เมื่อจำเป็น
5. การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
- หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับการเขียน Living Will หรือข้อกำหนดทางกฎหมาย ควรปรึกษาทนายความที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายสุขภาพ
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเอกสารครบถ้วนและสอดคล้องกับกฎหมายในรัฐของคุณ
6. การอัปเดต Living Will
- Living Will ควรได้รับการอัปเดตเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เช่น:
- การวินิจฉัยโรคใหม่
- การเปลี่ยนแปลงในสถานะครอบครัวหรือสถานะทางกฎหมาย
- อัปเดตเอกสารให้ทันสมัยและแจ้งบุคคลสำคัญที่ถือสำเนาเอกสารเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง
7. การแจ้งแพทย์และโรงพยาบาล
- แจ้งให้แพทย์และโรงพยาบาลทราบถึงการมี Living Will และให้สำเนาเอกสารเพื่อเก็บไว้ในแฟ้มประวัติการรักษา
- พูดคุยเกี่ยวกับความต้องการใน Living Will กับแพทย์ เพื่อให้มั่นใจว่าพวกเขาเข้าใจและสามารถปฏิบัติตามได้
การปฏิบัติตามกระบวนการทางกฎหมายอย่างถูกต้องทำให้ Living Will มีผลบังคับใช้ในกรณีฉุกเฉินและช่วยให้ความต้องการของคุณได้รับการปฏิบัติอย่างเต็มที่
5. Who Needs a Living Will? ใครบ้างที่ควรมี Living Will
Living Will ไม่ได้จำกัดเฉพาะคนป่วยหรือผู้สูงอายุเท่านั้น แต่เหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการควบคุมการรักษาพยาบาลของตนเองในสถานการณ์ที่ไม่สามารถตัดสินใจได้เอง ต่อไปนี้คือกลุ่มคนที่ควรพิจารณาเตรียม Living Will:
1. ผู้ที่มีโรคเรื้อรังหรือโรคระยะสุดท้าย
- บุคคลที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ เช่น มะเร็งระยะสุดท้าย หรือโรค ALS (Amyotrophic Lateral Sclerosis)
- การกำหนด Living Will ช่วยให้การรักษาพยาบาลสอดคล้องกับความต้องการ เช่น การขอรับการดูแลแบบประคับประคองแทนการรักษาเชิงรุก
2. ผู้สูงอายุ
- ผู้สูงอายุที่มีสุขภาพเปราะบางและต้องการควบคุมการดูแลในช่วงท้ายของชีวิต
- Living Will ช่วยลดภาระการตัดสินใจของครอบครัวในสถานการณ์ที่ซับซ้อน
3. บุคคลที่ต้องการควบคุมการรักษาพยาบาลของตนเอง
- ผู้ที่มีค่านิยมส่วนตัวหรือความเชื่อทางศาสนาที่ส่งผลต่อการรักษาพยาบาล
- ตัวอย่าง: ผู้ที่ไม่ต้องการรับการรักษาเพื่อยื้อชีวิตหรือปฏิเสธการใช้เครื่องช่วยหายใจ
4. ผู้ที่ต้องการเตรียมความพร้อมในกรณีฉุกเฉิน
- บุคคลทุกวัยที่ต้องการเตรียมตัวสำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน เช่น อุบัติเหตุที่ทำให้หมดสติหรือการเจ็บป่วยกะทันหัน
- Living Will ช่วยให้มั่นใจได้ว่าการรักษาจะสอดคล้องกับความต้องการของคุณ แม้ในกรณีที่ไม่สามารถสื่อสารได้
5. ผู้ที่ไม่มีครอบครัวหรือผู้ดูแลที่ชัดเจน
- สำหรับบุคคลที่ไม่มีญาติพี่น้องหรือผู้ดูแลใกล้ชิด การมี Living Will ช่วยให้ความต้องการของตนเองได้รับการปฏิบัติโดยบุคลากรทางการแพทย์
6. ผู้ที่ต้องการลดความขัดแย้งในครอบครัว
- ในบางกรณี ความเห็นที่แตกต่างในครอบครัวอาจนำไปสู่ความขัดแย้งในการตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล
- การมี Living Will ช่วยลดความสับสนและสร้างความมั่นใจว่าการรักษาจะเป็นไปตามความประสงค์ของเจ้าของเอกสาร
7. ผู้ที่ต้องการการรักษาแบบเฉพาะเจาะจง
- ผู้ที่ต้องการเลือกวิธีการรักษาที่เฉพาะเจาะจง เช่น การยินยอมให้บริจาคอวัยวะ การดูแลแบบธรรมชาติ หรือการดูแลตามความเชื่อส่วนตัว
8. ผู้ที่ต้องการเตรียมตัวสำหรับอนาคต
- แม้ในกรณีที่ยังไม่มีปัญหาสุขภาพ การเขียน Living Will เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
- ช่วยให้คุณควบคุมชีวิตของตนเองในทุกสถานการณ์
Living Will ไม่ได้มีไว้เฉพาะสำหรับผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุ แต่เป็นเอกสารที่สำคัญสำหรับทุกคนที่ต้องการกำหนดทิศทางการรักษาพยาบาลของตนเองในอนาคต การเตรียม Living Will เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อตัวเองและคนรอบข้าง
6. Common Misconceptions: ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Living Will
แม้ว่า Living Will จะเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการวางแผนการรักษาพยาบาลในอนาคต แต่ก็ยังมีความเข้าใจผิดอยู่บ่อยครั้งเกี่ยวกับเอกสารประเภทนี้ ต่อไปนี้คือความเข้าใจผิดที่พบบ่อยและคำอธิบายเพื่อช่วยแก้ไข:
1. Living Will คือการปฏิเสธการรักษาทั้งหมด
- ความจริง: Living Will ไม่ได้หมายถึงการปฏิเสธการรักษาทั้งหมด แต่เป็นการระบุว่าคุณต้องการหรือไม่ต้องการการรักษาแบบใด เช่น การใช้เครื่องช่วยหายใจ การให้อาหารทางสายยาง หรือการรักษาที่ไม่จำเป็น
- ตัวอย่าง: คุณอาจขอให้แพทย์รักษาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดแต่ปฏิเสธการรักษาที่ยื้อชีวิตโดยไม่เพิ่มคุณภาพชีวิต
2. Living Will ใช้แทน Will (Last Will and Testament) ได้
- ความจริง: Living Will และ Will (Last Will and Testament) มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
- Living Will: เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่
- Will: เกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินและมรดกหลังจากเสียชีวิต
- การมีทั้งสองเอกสารเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวางแผนชีวิตที่ครอบคลุม
3. Living Will มีผลบังคับใช้ทันทีหลังจากเซ็นเอกสาร
- ความจริง: Living Will จะมีผลก็ต่อเมื่อคุณไม่สามารถตัดสินใจหรือสื่อสารด้วยตนเองได้ เช่น ในกรณีที่หมดสติหรืออยู่ในภาวะวิกฤติ
- ก่อนหน้านั้น คุณยังคงสามารถเปลี่ยนแปลงความประสงค์ใน Living Will ได้ตลอดเวลา
4. มีครอบครัวหรือคนใกล้ชิดอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมี Living Will
- ความจริง: แม้ว่าคุณจะมีครอบครัวหรือคนใกล้ชิด แต่การมี Living Will จะช่วยให้ความประสงค์ของคุณชัดเจนและลดความสับสนในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
- ในบางกรณี ครอบครัวอาจมีความคิดเห็นที่แตกต่างเกี่ยวกับการรักษา การมี Living Will จะช่วยลดความขัดแย้งเหล่านี้ได้
5. Living Will ใช้ได้ทุกที่โดยไม่ต้องคำนึงถึงกฎหมาย
- ความจริง: กฎหมายเกี่ยวกับ Living Will แตกต่างกันไปในแต่ละรัฐในสหรัฐฯ คุณต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า Living Will ของคุณเป็นไปตามข้อกำหนดของรัฐที่คุณอาศัยอยู่
- หากย้ายไปอยู่รัฐอื่น คุณอาจต้องอัปเดต Living Will ให้สอดคล้องกับกฎหมายในรัฐนั้น
6. Living Will ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
- ความจริง: คุณสามารถแก้ไขหรือยกเลิก Living Will ได้ตลอดเวลา ตราบใดที่คุณยังมีสติสัมปชัญญะและสามารถตัดสินใจได้เอง
- ควรอัปเดต Living Will เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในสถานะสุขภาพหรือความต้องการ
7. Living Will ใช้ได้ในกรณีการตัดสินใจทั่วไปในชีวิตประจำวัน
- ความจริง: Living Will ครอบคลุมเฉพาะสถานการณ์ที่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลในช่วงที่คุณไม่สามารถตัดสินใจได้เอง ไม่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจทั่วไปในชีวิตประจำวัน
8. การมี Living Will จะทำให้ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
- ความจริง: Living Will ไม่ได้ป้องกันการรักษาที่เหมาะสม แต่ช่วยให้การรักษาสอดคล้องกับความประสงค์และคุณค่าชีวิตของคุณ
การทำความเข้าใจอย่างถูกต้องเกี่ยวกับ Living Will จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดความสับสนหรือความกังวลที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
7. Steps to Create a Living Will: ขั้นตอนการสร้าง Living Will
การสร้าง Living Will เป็นกระบวนการที่ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบเพื่อให้แน่ใจว่าความประสงค์ของคุณได้รับการปฏิบัติอย่างถูกต้อง ต่อไปนี้คือขั้นตอนที่สำคัญ:
1. ทำความเข้าใจและศึกษาข้อมูล
- ศึกษาความหมายและวัตถุประสงค์ของ Living Will เพื่อให้คุณเข้าใจว่าคุณกำลังสร้างเอกสารอะไร
- เรียนรู้กฎหมายของรัฐที่คุณอาศัยอยู่เกี่ยวกับ Living Will เนื่องจากข้อกำหนดอาจแตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ
2. เลือกแบบฟอร์มที่เหมาะสม
- ใช้แบบฟอร์มที่ได้รับการรับรองจากรัฐหรือองค์กรที่เชื่อถือได้
- หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับแบบฟอร์มที่ถูกต้อง ปรึกษาทนายความหรือนักกฎหมายด้านสุขภาพ
3. ระบุความประสงค์ของคุณอย่างชัดเจน
- กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลที่คุณต้องการหรือปฏิเสธ เช่น:
- การใช้เครื่องช่วยหายใจ
- การให้อาหารทางสายยาง
- การดูแลแบบประคับประคอง
- ระบุสถานที่ที่ต้องการรับการรักษา เช่น โรงพยาบาล บ้าน หรือสถานดูแลระยะสุดท้าย (Hospice)
4. เลือกตัวแทนการตัดสินใจ (Healthcare Proxy)
- เลือกบุคคลที่คุณไว้วางใจเพื่อทำหน้าที่ตัดสินใจด้านการรักษาพยาบาลในกรณีที่คุณไม่สามารถทำได้
- แจ้งให้ตัวแทนทราบถึงบทบาทและความประสงค์ของคุณอย่างชัดเจน
5. เขียนและเซ็นเอกสาร
- กรอกข้อมูลใน Living Will ให้ครบถ้วนและตรวจสอบความถูกต้อง
- เซ็นชื่อในเอกสารต่อหน้าพยานตามที่กฎหมายรัฐกำหนด:
- พยานที่ไม่มีส่วนได้เสียใน Living Will
- หรือให้เจ้าหน้าที่โนตารี (Notary Public) รับรองเอกสาร
6. แจกจ่ายสำเนาเอกสาร
- มอบสำเนา Living Will ให้บุคคลสำคัญ เช่น:
- ตัวแทนการตัดสินใจ (Healthcare Proxy)
- สมาชิกในครอบครัวที่ใกล้ชิด
- แพทย์ประจำตัวหรือสถานพยาบาล
- เก็บต้นฉบับในที่ปลอดภัยแต่สามารถเข้าถึงได้ง่าย
7. พูดคุยกับครอบครัวและแพทย์
- อธิบายความประสงค์ใน Living Will ให้ครอบครัวและแพทย์ของคุณเข้าใจ
- การพูดคุยนี้ช่วยลดความขัดแย้งและทำให้พวกเขาเตรียมพร้อมปฏิบัติตามเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน
8. อัปเดต Living Will เป็นระยะ
- ตรวจสอบ Living Will ของคุณทุกๆ 2-3 ปี หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในสถานะสุขภาพ ครอบครัว หรือกฎหมาย
- หากมีการแก้ไข ให้แจ้งบุคคลที่ถือสำเนาเดิมทราบและมอบสำเนาอัปเดตใหม่
9. เก็บข้อมูลในระบบที่เข้าถึงง่าย
- บางรัฐหรือสถานพยาบาลมีระบบฐานข้อมูลที่เก็บ Living Will ไว้ในรูปแบบดิจิทัล
- แจ้งโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลให้ทราบว่าคุณมี Living Will และให้พวกเขาเก็บสำเนาไว้ในแฟ้มประวัติการรักษา
การเขียน Living Will อาจเป็นกระบวนการที่ดูซับซ้อน แต่เป็นการวางแผนที่สำคัญเพื่อช่วยให้คุณมั่นใจว่าความต้องการของคุณจะได้รับการปฏิบัติอย่างเหมาะสม และช่วยลดความกังวลให้กับครอบครัวในช่วงเวลาที่ตึงเครียด
8. How to Communicate Living Will: การสื่อสาร Living Will
การเขียน Living Will เป็นเพียงขั้นตอนแรก แต่การสื่อสารให้บุคคลสำคัญและผู้เกี่ยวข้องเข้าใจและพร้อมปฏิบัติตามเอกสารเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่สำคัญ ต่อไปนี้คือวิธีการสื่อสาร Living Will อย่างมีประสิทธิภาพ:
1. การพูดคุยกับครอบครัว
- แจ้งให้ครอบครัวทราบถึงความตั้งใจ
พูดคุยกับครอบครัวเกี่ยวกับการตัดสินใจเขียน Living Will และเหตุผลเบื้องหลัง เช่น ความเชื่อส่วนตัวหรือค่านิยมในการดูแลสุขภาพ - อธิบายรายละเอียดใน Living Will
แบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับความประสงค์ของคุณ เช่น การปฏิเสธหรือยอมรับการรักษาแบบใด - ตอบคำถามหรือข้อกังวล
รับฟังความคิดเห็นของครอบครัว และตอบคำถามเพื่อสร้างความเข้าใจและลดความขัดแย้ง
2. การแจ้งตัวแทนการตัดสินใจ (Healthcare Proxy)
- เลือกตัวแทนที่ไว้วางใจ
แจ้งตัวแทนของคุณเกี่ยวกับบทบาทของพวกเขา และตรวจสอบให้แน่ใจว่าพวกเขาเข้าใจความรับผิดชอบ - ให้สำเนา Living Will
มอบสำเนา Living Will ให้ตัวแทนเพื่อให้พวกเขาสามารถปฏิบัติตามความประสงค์ของคุณได้เมื่อจำเป็น
3. การพูดคุยกับแพทย์และสถานพยาบาล
- แจ้งแพทย์เกี่ยวกับ Living Will
ให้แพทย์ทราบว่าคุณมี Living Will และมอบสำเนาให้พวกเขาเก็บไว้ในแฟ้มประวัติการรักษา - พูดคุยเกี่ยวกับความต้องการทางการแพทย์
อธิบายความประสงค์ใน Living Will ให้แพทย์เข้าใจ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลที่สำคัญ เช่น การยื้อชีวิตหรือการดูแลแบบประคับประคอง - ตรวจสอบนโยบายของสถานพยาบาล
สถานพยาบาลบางแห่งอาจมีข้อกำหนดเฉพาะเกี่ยวกับ Living Will ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเอกสารของคุณเป็นไปตามข้อกำหนดเหล่านั้น
4. การแจ้งองค์กรหรือผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ
- แจ้งองค์กรที่เกี่ยวข้อง
หากคุณเข้ารับการดูแลจากสถานดูแลผู้สูงอายุหรือ Hospice ให้แจ้งพวกเขาเกี่ยวกับ Living Will และมอบสำเนาให้เก็บไว้ - ลงทะเบียนในระบบดิจิทัล
ในบางรัฐหรือองค์กร คุณสามารถลงทะเบียน Living Will ในฐานข้อมูลดิจิทัล เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว
5. การเก็บรักษา Living Will
- เก็บในที่ปลอดภัยและเข้าถึงได้ง่าย
เก็บเอกสารต้นฉบับในที่ปลอดภัย เช่น ตู้เก็บเอกสารที่ล็อกได้ หรือแฟ้มที่บ้าน - แจ้งครอบครัวหรือคนใกล้ชิดว่าควรมองหาที่ไหน
ให้ครอบครัวทราบตำแหน่งที่คุณเก็บเอกสาร เพื่อให้พวกเขาสามารถค้นหาได้เมื่อจำเป็น
6. การอัปเดตและแจ้งเตือน
- อัปเดต Living Will เมื่อมีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อมีการแก้ไขหรืออัปเดต Living Will แจ้งบุคคลที่ถือสำเนาเดิมทราบ และมอบสำเนาใหม่ให้พวกเขา - ทบทวนเป็นระยะ
ทบทวน Living Will เป็นประจำเพื่อให้มั่นใจว่ายังคงสอดคล้องกับความต้องการของคุณ
7. การสร้างบรรยากาศที่เปิดกว้าง
- สร้างบรรยากาศที่เปิดกว้างและไม่กดดันในการพูดคุยกับครอบครัวและผู้เกี่ยวข้อง
- ย้ำว่า Living Will เป็นเรื่องของการดูแลสุขภาพที่สอดคล้องกับค่านิยมและความต้องการของคุณ
การสื่อสาร Living Will อย่างชัดเจนช่วยให้บุคคลสำคัญในชีวิตของคุณสามารถปฏิบัติตามความประสงค์ได้อย่างถูกต้อง และช่วยลดความสับสนในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
Living Will หรือพินัยกรรมเกี่ยวกับการใช้ชีวิต เป็นเอกสารสำคัญที่ช่วยให้คุณควบคุมการรักษาพยาบาลของตนเองในช่วงที่ไม่สามารถตัดสินใจได้ การมี Living Will ไม่เพียงช่วยให้คุณมั่นใจว่าความต้องการของคุณจะได้รับการปฏิบัติ แต่ยังช่วยลดภาระทางอารมณ์และการตัดสินใจที่ยากลำบากให้กับครอบครัวและบุคคลใกล้ชิด
เหตุผลที่ควรสร้าง Living Will
- เพื่อกำหนดความประสงค์ด้านการรักษาพยาบาลที่ชัดเจนและสอดคล้องกับค่านิยมส่วนตัว
- ลดความสับสนและความขัดแย้งในครอบครัวเกี่ยวกับการตัดสินใจด้านการรักษา
- ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถดำเนินการรักษาได้ตรงตามความประสงค์ของคุณ
ประโยชน์ของ Living Will
- ควบคุมชีวิตและการรักษาพยาบาลในสถานการณ์ที่ไม่สามารถสื่อสารได้เอง
- สร้างความสงบใจให้กับคุณและครอบครัว
- ลดค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ไม่จำเป็นและไม่ได้ตรงตามความต้องการ
Living Will ไม่ได้เป็นเพียงเอกสารทางกฎหมาย แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถใช้ชีวิตตามความประสงค์ของตนเองจนถึงวาระสุดท้าย การเริ่มต้นเขียน Living Will ไม่ได้หมายความว่าคุณคาดการณ์สิ่งเลวร้าย แต่เป็นการเตรียมตัวสำหรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นและตรงตามที่คุณต้องการ
การเริ่มต้น
- ศึกษาข้อมูลและกฎหมายในรัฐของคุณ
- พูดคุยกับครอบครัว ตัวแทนการตัดสินใจ และแพทย์ของคุณ
- ลงมือเขียน Living Will อย่างละเอียดและแจกจ่ายสำเนาให้กับบุคคลที่เกี่ยวข้อง
Living Will เป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนชีวิตที่รอบคอบ และการเขียนเอกสารนี้ตั้งแต่วันนี้เป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อตนเองและคนรอบข้าง พร้อมทั้งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณใช้ชีวิตได้อย่างอุ่นใจค่ะ