ประกันสุขภาพในอเมริกา: วิธีการทำงาน วิธีเลือกซื้อ และความแตกต่างระหว่าง HMO, PPO และ POS
การดูแลสุขภาพในอเมริกาอาจดูซับซ้อนสำหรับหลาย ๆ คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่เพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ การมีประกันสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่อาจสูงมาก ในบทความนี้เราจะอธิบายว่าประกันสุขภาพในอเมริกาทำงานอย่างไร วิธีเลือกซื้อ และสิ่งที่ควรพิจารณา
ประกันสุขภาพในอเมริกาทำงานอย่างไร?
ในอเมริกา ประกันสุขภาพคือการช่วยกระจายค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ระหว่างคุณและบริษัทประกัน โดยที่คุณต้องจ่าย “เบี้ยประกัน” (Premium) รายเดือน และเมื่อคุณต้องใช้บริการสุขภาพ เช่น พบแพทย์หรือเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล คุณจะจ่ายส่วนที่เรียกว่า Copayment หรือ Coinsurance ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งที่คุณต้องรับผิดชอบ นอกจากนี้ ยังมี “Deductible” หรือค่าใช้จ่ายขั้นต่ำที่คุณต้องจ่ายเองก่อนที่ประกันจะเริ่มช่วย
ควรซื้อประกันสุขภาพเมื่อไร?
- ช่วงลงทะเบียนเปิด (Open Enrollment Period)
ช่วงเวลานี้จะเกิดขึ้นทุกปี (ประมาณเดือนพฤศจิกายนถึงมกราคม) โดยคุณสามารถสมัครประกันสุขภาพใหม่หรือเปลี่ยนแผนที่มีอยู่ได้ - กรณีเหตุการณ์พิเศษ (Special Enrollment Period)
คุณสามารถสมัครประกันสุขภาพนอกช่วง Open Enrollment ได้ หากมีเหตุการณ์พิเศษ เช่น ย้ายบ้าน แต่งงาน หรือสูญเสียประกันสุขภาพจากงานเดิม - ผ่านนายจ้าง (Employer-Sponsored Insurance)
ถ้าคุณมีงาน นายจ้างอาจเสนอแผนประกันสุขภาพให้ และคุณสามารถสมัครได้เมื่อเริ่มงานหรือช่วงลงทะเบียนของบริษัท - Medicaid และ Medicare
สำหรับคนรายได้น้อยหรือผู้สูงอายุ คุณอาจมีสิทธิ์ได้รับความช่วยเหลือจาก Medicaid หรือ Medicare ซึ่งเป็นโครงการของรัฐบาล
สิ่งที่ควรพิจารณาในการเลือกแผนประกันสุขภาพ
- ค่าเบี้ยประกัน (Premium)
เลือกแผนที่ค่าเบี้ยประกันเหมาะสมกับงบประมาณของคุณ - ค่าใช้จ่ายร่วม (Copay/Coinsurance) และ Deductible
ตรวจสอบว่าแผนนี้กำหนดให้คุณจ่ายเองเท่าไรต่อปี - เครือข่ายแพทย์และโรงพยาบาล (Network)
ดูว่าแพทย์หรือโรงพยาบาลที่คุณต้องการใช้งานอยู่ในเครือข่ายของแผนนั้นหรือไม่ - ยาที่ครอบคลุม (Prescription Coverage)
ถ้าคุณต้องใช้ยาประจำ ให้ตรวจสอบว่ายานั้นอยู่ในรายการยาที่แผนครอบคลุม
ความแตกต่างระหว่าง HMO, PPO และ POS
- HMO (Health Maintenance Organization)
- ต้องเลือกแพทย์ประจำตัว (Primary Care Physician)
- ใช้บริการเฉพาะในเครือข่ายเท่านั้น
- ค่าเบี้ยประกันมักจะถูกกว่า แต่มีข้อจำกัดในเรื่องการเข้าถึงแพทย์
- PPO (Preferred Provider Organization)
- สามารถไปหาแพทย์หรือนอกเครือข่ายได้ แต่ค่าใช้จ่ายจะสูงกว่า
- ไม่จำเป็นต้องมีการส่งตัวจากแพทย์ประจำตัว
- ยืดหยุ่นกว่า HMO แต่ค่าเบี้ยประกันมักจะแพงกว่า
- POS (Point of Service)
- เป็นการผสมระหว่าง HMO และ PPO
- ต้องเลือกแพทย์ประจำตัว แต่สามารถไปหาผู้เชี่ยวชาญนอกเครือข่ายได้หากได้รับการส่งตัว
- ค่าเบี้ยประกันและค่าใช้จ่ายร่วมมักจะอยู่ในระดับกลาง
การมีประกันสุขภาพในอเมริกาเป็นเรื่องจำเป็นเพราะค่ารักษาพยาบาลที่สูง การเลือกแผนที่เหมาะสมต้องพิจารณาถึงค่าใช้จ่าย ความคุ้มครอง และความสะดวกในการใช้งาน หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจพื้นฐานของระบบประกันสุขภาพในอเมริกา และสามารถเลือกแผนที่ตรงกับความต้องการได้